5 November 2013

~~เมื่อคราฟ้าหม่นหมอง~~



อินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑

๐ กาญจน์พรรณตะวันฟ้า................สุริยามิอ่อนแสง
เด่นดวง บ ลับแรง...........................รวิก่องรุจีพราว
๐ บงฟ้าโพยมพิศ..........................ฆณชิดตะวันราว
บดบังสกาวขาว.............................ทินะแสงกระจ่างตา
๐ ครึ้มครึ้มนภัสมาศ....................สิประกาศมิลับลา
ว่าเทพสกลครา..............................ชละหลั่งถะถั่งสาย
๐ ยลพื้นอุทกแผ่น.........................ฆระแดนสลิลราย
แสงฟ้านภาฉาย...........................สิสะท้อนชลาเงา
๐ ฟ้าครึ้มทะมึนเม-.......................ฆะชะเลก็ทึบเอา
หมองหม่นระคนเฉา.......................นัยะเคล้าอะดูรดาย
๐ เหลือบหาวิหคเหิน......................จะสะเทิ้นทะยานกาย
โผนผกเหาะเรียงราย......................ณ นภัสก็ห่อนเห็น
๐ ดุจดังจะใกล้ค่ำ..........................ทินะย่ำวิกาลเย็น
เงียบเชียบพะเพียบเป็น...................สรชัฎและป่าซาง
๐ ผองแผ่นชลาพื้น.........................กระแสะรื่นระเอื่อยพลาง
ดังใจจะให้คราง............................จะละห้อยคระโหยหา
๐ ผองไทยสยามเรา........................ปุระเศร้าวิโยคครา
สูญเสียพระสังฆา-............................ธิบดินทราบาล
๐ ชนไทยนราผอง............................สุระร้องละโหยหาร
ด้วยเศร้า บ เพลาภาร-.......................ะสะอื้นมิผ่อนผัน
๐ คราองค์พระทรงชาญ.....................พละญาณอุดมปัญ-
ญาชัดวิสัชช์ธรรม์..............................นระสาธุการสุนทร์
๐ สอนสั่งประชาชี.............................ตละที่จะเจือจุน
ในธรรมพระพุทธคุณ..........................สุวิสุทธิกำจร
๐ เกื้อกูลนราสง-..............................เคราะหะองค์มเหศร
อยู่คู่บดินทร....................................ทวิทศวรรษนำ
๐ เมื่อสิ้นพระสงฆ์เจ้า.........................นฤเข้าพิไรรำ
ด้วยดวงตะเกียงธรรม........................รุจิมิดและดับลง
๐ ดุจว่ากะนาเวศ..............................จรเลศก็เลยหลง
นายเรือสิปลดปลง............................ก็จะล่องละลอยไหน
๐ กลางเลอุทกคลื่น...........................กระแสะกลืนสิซัดไป
โต้งเต้งคะเครงไกล............................ภัยะร้ายก็หมายหัว
๐ ลอยไหนก็ไป่รู้................................พิศดูสิน่ากลัว
วันใดจะจมตัว...................................วปุเป็นกระยาหาร
๐ ปลาจ้องละอองฟ่อน........................ขณะตอนสรีร์พาน
ตกชลกระแสธาร................................สิก็งับขย้ำเอา
๐ ชนนิดกระจิดน้อย...………………....ก็จะพลอยจะอับเฉา
เหยื่อปลาคณาเนา..............................กวะปูชะเลมา
๐ สูญสิ้นและภินท์พัง...…………………ดุจะดั่งกระดังงา
ถูกไฟคระไลลา..................................พละกูณฑะมอดเหลือ
๐ สงสารปุริสชาติ..............................เฉพาะปราศพระธรรมเยือ
หลงไหลกิเลสเครือ..............................กวะมารจะเปรอปรน
๐ ทั้งผองทุราโรค.................................ฆนะโภคสิเลอยล
เพียบกามคุณสน-.................................ธิวิกลวิการเสีย
๐ ลืมคำพระสอนสั่ง...............................จิตะดังพิการเพลีย
ปราศญาณพิจารณ์เยีย...........................คติโมหะเป็นมูล
๐ เราผู้ตริตรองมา................................พิชญาณะเกื้อกูล
เห็นภัยประการสูญ................................สิก็จึงยุบลเตือน
๐ จารคำภณากล่าว..............................ขณะคราวประชาเชือน
หลงมารระรานเบือน..............................กวะโจระทำลาย
๐ เถิดตรองคระลองนัย..........................พิเคราะห์ให้ฤทัยกาย
ปราศโมหะฟั่นคลาย..................................มนะเพริศลุปัญญา
๐ เป็นสรรคสร้างจิต..............................และสมิทธิสัมมา
ตามอรรถะมรรคา.................................สุคตาพระพุทธัง
๐ เพื่อจักประหารเฉท.............................เฉพาะเพศกิเลสดัง
คำสังฆราชมัง-......................................คละองค์พระทรงธรรม
๐ ถึงซึ่งพระนิพพาน...............................ลุสถานประกอบนำ
ปราศทุกข์และสุขล้ำ...............................ณ นิพัทธ์นิรันดร ฯ

คำแปล

กาญจน์ - ทอง
สุริยา-พระอาทิตย์
รวิ-แสงอาทิตย์
โพยม- ฟ้า
ฆณ-เมฆ
อุทก -น้ำ
ฆร - ชิ้น, ส่วน
สลิล - น้ำ
วิหค - นก
สะเทิ้น - เคลื่อนไหว
มเหศร-พระมหากษัตริย์
บดินทร - พระมหากษัตริย์
ทวิ - สอง
นาเวศ - เรือ
วปุ - ร่างกาย
ภินท์-พัง ทำลาย
กูณฑ์ - ไฟ
เยือ- นาน
ฆน-ลิ้น
กามคุณ-คำ ๆ นี้เป็นคำวัด แปลว่า สิ่งที่น่าปรารถนา มีอยู่ 5 อย่าง ตามประสาทสัมผัสของคนเรา เช่น รูป เสียงกลิ่น รส และโผฎฐัพพะที่น่าชื่นใจ
เยีย- ทำ
ภณา-พูด
วจิ- คำพูด
สมิทธิ์ -ทำให้เสร็จ
นิพัทธ์-เนือง ๆ






No comments:

Post a Comment